หรือว่าลูกเราเป็น ออทิสติก?

(ข้อมูลจากนิตยสาร AIGLE เดือนพฤษภาคม)

ย้อนกลับไป 30-40 ปีก่อนหน้านี้ หลายๆ คนไม่เคยแม้แต่จะได้ยินคำว่าออทิสติก แต่เดี๋ยวนี้ ดูเหมือนคำๆ นี้เข้ามาใกล้เรามากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะตัวอย่างจากภาพยนต์หรือข่าวเกี่ยวกับเด็กออทิสติกอัจฉริยะทั้งในและต่างประเทศอยู่เรื่อยๆ แม้แต่ได้รับรู้ว่ามีลูกหลานของคนใกล้ตัวเป็นเด็กออทิสติก ออทิสติกนั้นจริงๆ เป็นอย่างไร หลายคนอาจยังไม่เข้าใจ และยังสับสนกับโรคสมาธิสั้นด้วยซ้ำ

ถ้าเรียกอย่างถูกต้องก็คือกลุ่มอาการออทิสติกสเปคตรัม (Autistic spectrum disorder) เป็นความผิดปกติด้านพัฒนาการที่มีสาเหตุจากความผิดปกติในสมอง (Brain-based disorders) ส่งผลต่อพฤติกรรม การเข้าสังคมและการสื่อสารของเด็ก กลุ่มอาการออทิสติกสเปคตรัมประกอบด้วยโรค 3 โรคคือ โรคออทิสติก (Autistic disorder) , PDD-NOS (Pervasive developmental disorder-not otherwise specified) และโรคแอสเปอเกอร์ (Asperger syndrome) ปัจจุบันพบเด็กที่เป็นกลุ่มอาการนี้ได้ 1 ต่อ 110-150 คน และหากมีประวัติว่าพี่น้องสมาชิกในครอบครัวเป็นออทิสติกแล้วละก็ จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าเด็กทั่วไปถึง 10 เท่าเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคออทิสซึมก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดในปัจจุบัน มีการศึกษาวิจัยมากมายซึ่งข้อมูลที่มีบ่งชี้ไปที่ความผิดปกติในระดับพันธุกรรม เกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับยีนบางตัว บางส่วนของสมองและเซลล์ประสาทบางกลุ่ม และอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมอีกมาก

อาการของเด็กออทิสติกอาจเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก ในด้านสังคมและพัฒนาการทางภาษา คือมักจะไม่ชอบให้กอดหรืออุ้ม ชอบนอนอยู่เฉยๆ คนเดียวได้นานจนดูเหมือนเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเช่น ยิ้ม หัวเราะ โกรธ ไม่จ้องหน้าสบตา ไม่ตอบสนองเวลาถูกเรียกชื่อหรือมีคนพูดคุยด้วย จนบางครั้งทำให้สงสัยว่าเด็กไม่ได้ยินแต่กลับตอบสนองต่อเสียงอื่นๆ ได้แม้ว่าจะเบามาก เช่นเสียงแอร์ เสียงเครื่องยนต์เสียงโทรทัศน์ เป็นต้น ไม่เล่นเสียงตามวัยที่ควรเป็น เช่นเด็กส่วนใหญ่ควรเล่นเสียงมามา ปาปา ได้ตั้งแต่ 9-12 เดือน และเริ่มพูดคำที่มีความหมายได้ก่อนอายุ 18 เดือน แต่เด็กออทิสติกมักพูดได้ช้ากว่านั้น หรือหากพูดได้มักเป็นการพูดทวนสิ่งที่เคยได้ยินบ่อยๆ ไม่ได้ การพูดเพื่อพยายามจะสื่อสารกับคนอื่นๆ ก็อาจมีภาษาแปลกๆ ที่ฟังเหมือนภาษาต่างดาว ไม่มีความหมาย พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อ เช่น การคว่ำ หงาย นั่ง ยืน เดิน มักจะปกติ มีบางกรณีที่เด็กออทิสติกอาจมีพัฒนาการทางภาษาไม่ช้าได้ คือกรณีของเด็กที่เป็นแอสเปอเกอร์ อาจพูดได้ตามเกณฑ์แต่การใช้ภาษาจะแปลกไป เช่นพูดไม่เข้ากับกาละเทศะ พูดไม่สมกับอายุเช่น ใช้คำพูดเหมือนผู้ใหญ่ หรือพูดวนเวียนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าปกติ และมีประมาณ 25% ของเด็กออทิสติกที่มีพัฒนาการทางภาษาปกติจนถึงอายุประมาณ 12-18 เดือน บางคนเริ่มพูดคำเดี่ยวๆ ได้แล้ว แต่ต่อมาเริ่มมีพัฒนาการถดถอยหรือหยุดชะงักเช่น หยุดพูด หยุดโบกมือบ๊ายบาย หยุดหันหาเวลาถูกเรียกชื่อสนใจคนรอบข้างน้อยลง เล่นคนเดียวมากขึ้น เด็กออทิสติกแต่ละคนนั้นมีอาการและความรุนแรงที่ต่างกัน แต่อาการหลักที่มีต้องเข้าได้กับเกณฑ์การวินิจฉัยของโรค คือมีความผิดปกติใน 3 ด้านต่อไปนี้

1. ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม “ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว” เด็กออทิสติกมักไม่สบตา หรือสบตาน้อยมาก ไม่ค่อยแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ ไม่ตอบสนองเวลาพ่อแม่เล่นด้วย ไม่สามารถสื่อสารความต้องการของตัวเองได้ เช่นไม่ชี้นิ้วบอกเวลาต้องการอะไร แต่ใช้วิธีร้องงอแงจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ หรือดึงมือคนอื่นไปหยิบแทน ไม่มองตามเวลาพ่อแม่ชี้ชวนให้ดูสิ่งต่างๆ และไม่ชี้ชวนให้พ่อแม่มองตามสิ่งที่ตัวเองสนใจ ไม่เอาของที่ตนเองสนใจมาอวดหรือโชว์กับพ่อแม่ ไม่เข้าใจ สีหน้า อารมณ์และความรู้สึกของคนอื่น เด็กออทิสติกส่วนใหญ่จะชอบแยกตัว ชอบเล่นคนเดียว แต่เด็กบางคนอาจ

สนใจอยากเล่นกับเพื่อน แต่เล่นไม่เป็นหรือเล่นแรงเกินไปทำให้เพื่อนกลัว เด็กที่พูดได้อาจพูดไม่ถูกกาละเทศะ ดูเหมือนไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น ทำให้เด็กออทิสติกถูกเข้าใจผิดหรือถูกมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าวได้

2. ทักษะภาษาและการสื่อสาร “ลูกพูดภาษาอะไรแปลกๆ ไม่มีใครฟังเข้าใจ เหมือนภาษาต่างดาว แต่พอร้องเพลงโฆษณา ร้องแม่นเหมือนเป๊ะเลย” เด็กทั่วไปควรจะพูดคำเดี่ยวๆ ที่มี ความหมายได้ก่อนอายุ 18 เดือน พูดเป็นวลี 2 คำติดกันได้ก่อน 2 ขวบ แต่เด็กออทิสติกมักจะพูดได้ช้ากว่านั้น หลายคนที่อายุ 2-3 ขวบ แล้วก็ยังไม่พูดคำที่มีความหมายเลย อาจจะส่งเสียงเป็นภาษาแปลกๆ ที่ฟังไม่ออก หรือใช้คำแปลกๆ แทนของบางอย่าง เช่นเรียกนมว่า “แจ๊ะ” เรียกแม่ด้วยชื่อตัวเอง (เพราะได้ยินแม่พูดชื่อนั้นบ่อยๆ) บางคนจะพูดได้เฉพาะสิ่งที่เคยได้ยินบ่อยๆ แต่ไม่เข้าใจความหมาย เช่นประโยคหรือเพลงในโฆษณาที่เคยฟังบ่อยๆ เด็กออทิสติกมักไม่ชอบพูดคุยหรือสื่อสารกับคนอื่น แต่หากต้องการสื่อสารก็มักจะไม่สามารถเริ่มต้นการสนทนา หรือโต้ตอบการสนทนากับคนอื่นได้อย่างราบรื่น

3. พฤติกรรมที่ซ้ำๆ หรือมีข้อจำกัดในกิจกรรมประจำวันต่างๆ เช่น ชอบหมุนตัว สะบัดมือ สะบัดนิ้ว โยกตัว ชอบมองตามมุมหรือขอบของสิ่งของ ใช้หางตามองสิ่งต่างๆ ทำอะไรตามลำดับซ้ำๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ต้องทานอาหารจานเดิม เก้าอี้ตัวเดิม เมนูเดิมทุกครั้ง ต้องดื่มนมด้วยแก้วใบเดิมในเวลาเดิม หมกมุ่นกับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งมากๆ จนไม่ทำอย่างอื่น เช่น เล่นแต่ไดโนเสาร์ หรือ ตัวต่ออันเดิมทั้งวัน เล่นของเล่นเฉพาะบางส่วนแทนที่จะเล่นเป็นชิ้น เช่น เล่นแต่ล้อรถ เด็กออทิสติกบางคนอาจมีความสามารถพิเศษเกินอายุ เช่น จำไดโนเสาร์ได้ทุกพันธุ์อย่างละเอียด รู้เส้นทางรถเมล์ทุกสาย ขึ้นกับว่าเด็กหมกมุ่นกับเรื่องใดมีประสาทสัมผัสที่ไม่ไวหรือไวมากผิดปกติกับบางอย่าง เช่น เวลาเจ็บอาจไม่ร้องไห้เลย แต่เมื่อได้ยินเสียงหรือได้กลิ่น แสง หรือสัมผัสบางอย่างกลับร้องโวยวายงอแงไม่หยุด

ปัจจุบันกลุ่มอาการออทิสติกยังไม่มีการรักษาใดที่ทำให้หายขาดได้ แต่เด็กออทิสติกสามารถพัฒนาและเรียนรู้ ทักษะต่างๆ เพิ่มได้ มีเด็กประมาณ 3-25 % ที่หลังจากผ่านการฝึกอาการจะดีขึ้นจนไม่เข้ากับเกณฑ์การวินิจฉัยโรคอีก แต่มักยังมีอาการบางอย่างที่คงอยู่จนโตได้ เช่น การเข้าสังคม การสื่อสารกับเพื่อนอาจยังมีปัญหา ซึ่งผู้ปกครองควรต้องคอยชี้แนะประคับประคองต่อไป เด็กออทิสติกทุกคนจำเป็นต้องได้รับการทำพฤติกรรมบำบัด เพื่อที่จะดึงให้เด็กออกจากโลกส่วนตัวมาสู่โลกแห่งความจริงที่มีคนอื่นๆ อยู่ร่วมด้วย เช่น พ่อแม่ พี่น้อง รวมถึงการเรียนรู้ที่จะสื่อสารอารมณ์ ความต้องการของตนเอง และเข้าใจความต้องการของผู้อื่นด้วย ในกรณีที่มีพฤติกรรมซ้ำๆ หรือจำกัด การแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวก็จำเป็นเช่นกัน การปรับพฤติกรรมในเด็กออทิสติกมีหลากหลายวิธี ทั้งแบบที่เข้มข้นยึดตามผู้ฝึก และแบบที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง โดยมีผู้ฝึกต่อยอดจากความสนใจหรือความต้องการของเด็ก โดยการเลือกวิธีรักษาต้องขึ้นอยู่กับหลายๆ อย่างทั้งตัวเด็ก ผู้ปกครอง ผู้ฝึก และแพทย์ผู้ดูแลว่าวิธีใดที่เหมาะสมกับเด็กมากที่สุด แม้ปัจจุบันยังไม่มียาใดที่รักษาอาการหลักหรือสาเหตุหลักของโรคออทิสติกได้ แต่เด็กออทิสติกบางคนอาจจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อช่วยควบคุมพฤติกรรมบางอย่างที่ขัดขวางการฝึก หรือเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น เช่น พฤติกรรมก้าวร้าว อยู่ไม่นิ่ง ย้ำคิดย้ำทำปัญหาการนอน เป็นต้น โดยแพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้พิจารณา

การวางแผนระยะยาวในด้านการเรียนหรือการช่วยเหลือตนเอง เมื่อเด็กออทิสติกได้รับการฝึกพฤติกรรมบำบัดจนถึงระดับหนึ่ง คือสามารถเข้าสู่สังคมได้ สื่อสารกับคนอื่นได้ การจัดหาโรงเรียนควรจัดให้เรียนในโรงเรียนปกติที่รับเด็กออทิสติกร่วมด้วยจะดีที่สุด ไม่ควรแยกเด็กออกจากสังคม ปัจจุบันมีโรงเรียนระดับอนุบาลหลายโรงเรียน ที่มีความพร้อมในการรับเด็กออทิสติก ที่ผ่านการฝึกมาแล้วเข้าเรียนกับเด็กทั่วไป แต่ยังคงต้องการการดูแลพิเศษเพิ่มเติมบางอย่าง และควรมีการประสานกันระหว่างโรงเรียนและแพทย์ผู้ดูแลเป็นระยะๆ ระดับประถมอาจมีโรงเรียนที่รับเด็กกลุ่มนี้น้อยอยู่

เช่นโรงเรียนสาธิตในมหาวิทยาลัยต่างๆ โรงเรียนที่มีโครงการร่วมกับศูนย์การศึกษาพิเศษในแต่ละจังหวัด แต่หากเด็กมีอาการค่อนข้างรุนแรงอาจต้องเข้าเรียนในโรงเรียนเฉพาะกลุ่ม หรืออยู่ในสถาบันเฉพาะเช่น โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ โรงพยาบาลราชานุกูล เป็นต้น

“ภาวะจิตใจของพ่อแม่ที่ลูกเป็นออทิสติกนั้น ต่างอัดแน่นด้วยความรู้สึก เศร้า โกรธ ผิดหวัง ไม่พอใจ ไปพร้อมๆ กับความรู้สึกสงสารลูก จึงอยากให้พ่อแม่ทุกคนมีกำลังใจให้สามารถหลุดออกจากความรู้สึกนั้น แล้วเอากำลังกาย กำลังใจ มาทุ่มเทให้กับลูกได้เร็วที่สุด เพราะไม่มียาวิเศษใดๆ หรือการฝึกใดๆ ที่จะช่วยรักษาลูกได้ดีไปกว่าความรักและเอาใจใส่ของพ่อแม่ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการเรียนรู้และเข้าใจโรคนี้ให้ได้อย่างถ่องแท้ ศึกษาแนวทางการรักษาต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน โดยหาข้อมูลรอบด้านทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะปัจจุบันมีวิธีการรักษาทางเลือกมากมายที่ให้ความหวังกับพ่อแม่ของเด็กออทิสติก แต่ส่วนใหญ่การรักษาทางเลือกเหล่านั้นยังมีผลการวิจัยด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยไม่มากเพียงพอ อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ควรจะปรึกษากับแพทย์ผู้ดูแลด้วยว่าวิธีต่างๆ ที่จะเลือกทำนั้นปลอดภัยหรือเหมาะสมกับลูกของเราหรือไม่” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ สถาบันกุมารเวช สมิติเวช สุขุมวิท โทร. 02-7118236-7

อ่านความรู้เพื่อเป็นแนวทางป้องกันดูแลชีวิตและสุขภาพได้ในนิตยสารรายเดือน ไอเกิล (AIGLE) หรือ www.aiglemag.com และพบบทความสุขภาพออนไลน์อีกมากมายที่ www.facebook.com/DrCareBear

ไอเกิล เป็นนิตยสารรายเดือนเพื่อไลฟ์สไตล์และสุขภาพดีที่สามารถ interact กับผู้อ่านได้อย่างสนุกสนาน ท้าทาย เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายคนทำงานรุ่นใหม่ที่ใส่ใจในสุขภาพ ต้องการสร้างความสมดุลของร่างกาย ความคิด อารมณ์ สังคม และจิตใจ เพื่อความอยู่ดีมีสุข หาอ่านได้ที่ สมิติเวช, Au Bon Pain, Greyhound, Absolute Yoga, True Fitness, California WOW, หมู่บ้านเครือแสนสิริ, ธ.ธนชาต, ธ.ทหารไทย และโรงแรมในเครือ Amari

***************************************
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่
ปัญจมา จัดเจน โทร 0-2378-9200 E-mail: punchama.c@samitivej.co.th
สุรัญชนา สิทธิพูล โทร 0-2378-9155 E-mail: ssitthip@samitivej.co.th
วสีนาท สุขทิศ โทร 0-2378-9270 E-mail: waseenat.so@samitivej.co.th

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น

สมิติเวช ชวนคุณพ่อคุณแม่ใส่ใจเรื่องวัคซีน เสริมภูมิให้น้องๆ สดใสรับเปิดเทอม

เปิดเทอมที่จะถึงนี้ น้อง ๆ ส่วนใหญ่คงจะดีใจที่ได้กลับไปเจอเพื่อน ๆ ร่วมชั้น ส่วนหนึ่งก็จะได้เจอเพื่อนใหม่ รวมถึงจะได้เจอคุณครูที่เป็นที่รักด้วย แต่ก่อนจะเปิดเทอมเรามาเตรียมร่างกายและจิตใจของน้องๆ ให้สดใสเตรียมพร้อมการเปิดภาคเรียนในเทอมใหม่กันดีกว่า

ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้น้องๆ มีมุมมองหรือทัศนคติที่ดีต่อโรงเรียน เพื่อนใหม่ และครูอาจารย์เสียก่อน อย่าให้มองการไปโรงเรียนเป็นแง่ลบตั้งแต่แรก เพราะจะทำให้น้องหมดกำลังใจเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่ง ปรับทัศนคติให้การเปิดเทอมคือการที่เค้าจะได้ไปพบกับความสนุกสนานจากเพื่อนๆ รับความรู้จากครูอาจารย์ที่จะทำให้เค้าทุกคนโตขึ้นเป็นเด็กที่เก่งจะดีกว่า และเมื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติเรียบร้อยแล้วคราวนี้ก็มาถึงเรื่องของสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจกัน ช่วงปิดเทอมคุณพ่อคุณแม่หลายคนคงได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งกับการพาน้องๆ ไปเที่ยวพักผ่อนทั้งในและต่างประเทศ นั่นถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนในภาคเรียนที่ผ่านมา และช่วยทำให้สมองน้องๆ ปลอดโปร่งขึ้นพร้อมที่จะรับความรู้ใหม่ ๆ หรือหากครอบครัวไหนไม่ได้ไปเที่ยว การทำกิจกรรมที่ชอบอย่างเช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา เล่นเกม หรือออกไปดูหนัง ก็ถือว่าช่วยผ่อนคลายได้เหมือนกัน หรือบางครอบครัวอาจจะออกแนวศาสนา ไปเที่ยววัด ได้ไหว้พระ นั่งสมาธิซัก 15 – 30 นาที ความร่มรื่นและเงียบสงบในวัดก็จะช่วยให้จิตใจดีขึ้น มีสมาธิที่จะคิดแก้ปัญหาเมื่อเราต้องเผชิญได้ดี ซึ่งส่งผลไปถึงเวลาเรียนด้วย ทำให้สมาธิ สติและปัญญาดีขึ้น การเตรียมร่างกายของน้อง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องดูแลอย่าให้เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยตั้งแต่เริ่มเปิดเทอม เพราะเดี๋ยวจะเกิดอุปสรรคหลายอย่างตามมา เช่น ไม่แข็งแรง หรือเรียนไม่ทันเพื่อน ยิ่งช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย จากร้อนจัด เปลี่ยนเป็นเย็นเพราะฝนตก อาจมีเชื้อโรคที่เป็นพาหะเยอะ จึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพให้มากขึ้นกว่าเดิม จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองต้องทำให้ลูกหลานของท่านมีความสดใสรับเปิดเทอม

วันนี้สมิติเวช ขอแบ่งปันเรื่องการเตรียมตัวเตรียมสุขภาพให้กับน้องๆ เพื่อพร้อมรับเปิดเทอมใหม่นี้ด้วยเรื่องของ “วัคซีน” ซึ่งพ่อแม่ควรรับทราบอย่างยิ่งและนำไปดูแลบุตรหลานของคุณ ในที่นี้มีวัคซีนตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงน้องๆในวัยเรียนที่ต้องออกไปพบกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ มากมาย

เพราะวัคซีนมีหน้าที่หลักช่วยป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ และลดความสูญเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ ดังนั้น หากเด็กๆ ได้รับวัคซีนพื้นฐานและวัคซีนเผื่อเลือกตามแผนการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่ถูกต้องแล้วก็จะสามารถลดจำนวนอัตราการเจ็บป่วยได้ รวมไปถึงบางโรคที่อาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้ ที่สำคัญวัคซีนยังมีคุณค่าในด้านการลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลรวมถึงลดการแพร่กระจายโรคไปสู่คนอื่น เพราะเราได้ป้องกันไว้แต่แรกแล้ว

ตารางการให้วัคซีนสำหรับเด็ก

ทั้งนี้ ผู้ปกครองควรทราบว่าบุตรหลานของท่านจะได้รับวัคซีนอะไรบ้างในแต่ละช่วงอายุโดยศึกษาจากตารางการให้วัคซีน หรือที่ดีที่สุดคือการพาน้องๆ มาพบแพทย์ หรือกุมารแพทย์เพื่อรับการตรวจและให้คำแนะนำก่อน เพราะวัคซีนหลายชนิดสามารถให้พร้อมกันได้โดยไม่เกิดอันตรายต่อเด็ก และวัคซีนบางชนิดต้องให้มากกว่า 1 ครั้ง และต้องฉีดกระตุ้นอีกเป็นครั้งคราวจึงจะได้ผลในการป้องกันเต็มที่ จึงควรพาเด็กมาตามนัดทุกครั้ง (ถ้าเด็กมีอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวันนัดผู้ปกครองสามารถพาเด็กมารับวัคซีนตามนัดได้ ในกรณีที่ไม่สามารถตามนัดได้ ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ ให้รับวัคซีนต่อไปได้เลยจนครบตามที่กำหนด ถ้าเด็กเคยมีอาการผิดปกติหลังการฉีดวัคซีนครั้งก่อน ๆ เช่น ชัก ไข้สูงมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดครั้งต่อไป)
ในปัจจุบันมีวัคซีนชนิดรวมอยู่ในเข็มเดียวกัน ซึ่งช่วยให้เด็กเจ็บตัวเพียงครั้งเดียว แต่สามารถป้องกันได้หลายโรคเชเช่น วัคซีนรวม 4 ชนิด (คอตีบ + ไอกรน + บาดทะยัก + ตับอักเสบ บี), วัคซีนรวม 5 ชนิด (คอตีบ + ไอกรน + บาดทะยัก + ตับอักเสบ บี + ฮิป), วัคซีนรวม 6 ชนิด (คอตีบ + ไอกรน + บาดทะยัก + ตับอักเสบ บี + ฮิป + โปลิโอ)

สำหรับผู้ปกครองหรือคุณพ่อคุณแม่เอง ก็สามารถอ่านความรู้เรื่องวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่ได้เช่นกันในนิตยสารไอเกิล “Aigle” ฉบับเดือนพฤษภาคมนี้ ที่ Au Bon Pain, Greyhound, Absolute Yoga, True Fitness, California WOW หมู่บ้านเครือแสนสิริ ธ.ธนชาต ธ.ทหารไทย โรงแรมเครือ Amari สำนักงานย่านสีลม และอาคารผู้โดยสาร Bangkok Airways หรือ Call center โทร.02-711-8181 พร้อมพบบทความสุขภาพอีกมากมายที่ www.facebook.com/DrCareBear..ด้วยความปรารถนาดีจาก โรงพยาบาลสมิติเวช

***************************************
โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น

สมิติเวชจับมือเนปาล เปิดโรงพยาบาลเอกชนแห่งล่าสุด

โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายบริการทางการแพทย์สู่ตลาดใหม่ โดยร่วมมือกับ “โรงพยาบาล แกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ในเขตทาปาสี กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล พัฒนาโรงพยาบาลเอกชนแห่งใหม่เพื่อคุณภาพชีวิตชาวเนปาล

โครงการพัฒนาโรงพยาบาลแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ทาปาสี เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ตามวิสัยทัศน์ “Care to Cure” ของแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยโรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์แห่งใหม่ในประเทศเนปาล ซึ่งมีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกครบครับเพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างครบครัน

ดร. รูป ชโยติ ประธานกลุ่ม แกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศเนปาล กล่าวในพิธีลงนามในสัญญาการให้บริการด้านการบริหารจัดการโรงพยาบาลร่วมกันว่า นอกจากนี้ โรงพยาบาลแห่งใหม่นี้ ยังจะเป็นผู้นำทางด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ในประเทศเนปาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้นศูนย์กลางการศึกษาสำหรับแพทย์และพยาบาลของประเทศ

ดร. ชโยติ กล่าวว่า โรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการให้บริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยในประเทศเนปาล และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบต่อสังคมของแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งนอกจากโรงพยาบาลนี้จะสามารถรองรับปริมาณประชากรที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะส่งเสริมการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพอีกด้วย

โรงพยาบาลแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ตั้งอยู่บริเวณเขตทาปาสี ซึ่งอยู่ห่างจากถนนวงแหวนในกรุงกาฐมาณฑุออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร โดยมีพื้นที่ใช้สอยรวม 210,000 ตารางฟุต อาคารหลักเป็นอาคารสูง 14 ชั้น ประกอบด้วยห้องผ่าตัด 8 ห้อง ลิฟต์ 5 ตัว และบันได 3 แห่ง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางกาย ขณะนี้โครงการก่อสร้างสำเร็จไปแล้วประมาณ 70%

มร. บิเจย์ ราชพันดารี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโครงการโรงพยาบาลแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า โครงการดังกล่าวใช้เงินลงทุนประมาณ 140 ล้านเนปาลรูปี และจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิศูนย์สุขภาพ อินเทอร์เน็ตเล้าจ์ ร้านกาแฟ ร้านกิฟท์ช็อป และตู้เอทีเอ็ม

ดร. จักรา ราช ปานเดย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า “เวลาทุกวินาทีมีค่าต่อชีวิตทั้งสิ้น เนปาลจำเป็นจะต้องมีสถาบันทางการแพทย์ที่สามารถรองรับผู้ป่วยในปัจจุบันและในอนาคตอย่างเพียงพอ โรงพยาบาลแห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่นี้จะรองรับผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี เพราะเรามีความเป็นเลิศด้านการแพทย์และเทคโนโลยีอันทันสมัย พร้อมทั้งความเชี่ยวชาญในหลายๆ ด้าน ทำให้เรามีความพร้อมที่จะดูแลผู้ป่วย รวมถึงกรณีการเจ็บป่วยหรือการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนได้เป็นอย่างดี

“โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความเป็นเลิศใน 4 ด้าน คือ บริการ ทีมงานที่มีความสามารถ ความเป็นเลิศด้านวิชาการ และการวิจัย ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเช่นเดียวกันกับในประเทศที่พัฒนาแล้ว โรงพยาบาลของเราถือเป็นหน่วยงานเล็กๆ แห่งใหม่ที่กำลังเติบโต และจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแตกต่างและยกระดับคุณภาพการดูแลด้านสุขภาพของชาวเนปาลต่อไป” ดร.จักรา ราช ปานเดย์กล่าวเสริม

ก่อนหน้านี้ โรงพยาบาลแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ลงนามในสัญญากับโรงพยาบาลสมิติเวช ด้านบริการให้คำปรึกษาสำหรับช่วงก่อนเปิดบริการ ภายใต้สัญญาดังกล่าว โรงพยาบาลสมิติเวชจะเป็นผู้บริหารงานของโรงพยาบาลแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนลทั้งหมด

ดร. ชโยติ กล่าวว่า “ประเทศเนปาลกำลังมีความต้องการบริการทางการแทพย์ที่มีคุณภาพเป็นอย่างมาก และด้วยการสนับสนุนจากสมิติวช โรงพยาบาลแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนลจะสามารถสนองความต้องการนี้ได้ทันทีที่เราเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนเมษายน ปี 2555 นี้”

สมิติเวชร่วมยกระดับบริการ

บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ให้บริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ และมีโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในเครือ 3 แห่ง นับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2522 เป็นต้นมา สมิติเวชได้ให้บริการทางการแพทย์แก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศในประเทศไทยเป็นอย่างดี จนได้รับการยอมรับอย่างสูงในด้านคุณภาพการบริการและการรักษาพยาบาลจากทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองในระดับนานาชาติและรางวัลต่างๆ มากมาย อาทิ การรับรอง Join Commission International (JCI) และรางวัล Hospital Management Awards มาแล้วถึง 3 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวชยังดำเนินการบริหารโรงพยาบาลอีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลบีเอ็นเอชในกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลวิคตอเรียในประเทศเมียนมาร์

มร. เรมอนด์ ฌอง กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สมิติเวชประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในประเทศไทย และมีประสบการณ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยปีละกว่า 1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 40% เป็นชาวต่างประเทศ เรามีแพทย์ประจำกว่า 500 คน และเจ้าหน้าที่อื่นๆ อีกกว่า 2,000 คน เรามีรายได้รวมกว่าปีละ 200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ทำให้เรามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ที่จะนำความรู้ความชำนาญของเรามาผนวกกับความสามารถของแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่ดีแก่ประชาชนในเนปาล”

“โรงพยาบาลสมิติเวชและแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนลมีวิสัยทัศน์ร่วมกันคือการเอาใจใส่ดูแลที่ดี โดยสมิติเวชมุ่งมั่นที่จะดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยทั้งในด้านความปลอดภัยและคุณภาพการบริการ การเอาใจใส่พนักงานที่ทำงานกับโรงพยาบาลรวมทั้งผู้ที่มาติดต่อ และเราพร้อมที่จะทำงานกับแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ฮอสปิตอล ในการยกระดับบริการทางการแพทย์ในประเทศเนปาล ด้วยการถ่ายทอดความรู้ และทักษะในมาตรฐานเดียวกันกับสมิตเวช ไม่ว่าจะในด้านการบริการ การสร้างบรรยากาศที่ดีภายในโรงพยาบาล หรือภาพลักษณ์ขององค์กรก็ตาม” มร. ฌองกล่าวเสริม

ตามสัญญาดังกล่าว สมิติเวชจะเป็นผู้ดูแลและควบคุมว่าการบริหารจัดการภายในโรงพยาบาลแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนลมีมาตรฐานสูง รวมไปถึงบริการทางการแพทย์ คุณภาพของพยาบาล และอื่นๆ หลังจากที่เปิดดำเนินการแล้ว สมิติเวชจะยังคงควบคุมและทบทวนความเพียงพอและความสามารถในด้านการจัดการ ตลอดจนให้คำแนะนำแก่โรงพยาบาลแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อรักษามาตรฐานการปฏิบัติการและประสิทธิภาพในการบริการ รวมทั้งยังจะถ่ายทอดความรู้ความชำนาญในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริการรักษาพยาบาลในแผนกฉุกเฉิน บริการด้านเทคนิคเช่น ห้องปฏิบัติการ การบำรุงรักษาเครื่องมือ หรือการวางระบบไอทีที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการตลาด และการพัฒนาบุคลาการ

นอกจากนี้ โรงพยาบาลแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนลยังสามารถส่งผู้ป่วยต่อมายังโรงพยาบาลสมิติเวชได้อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลสมิติเวช

โรงพยาบาลสมิติเวชก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2522 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน ชั้นนำในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ให้บริการด้วยมาตรฐานด้านการแพทย์ซึ่งได้รับการรับรองคุณภาพทั้งในประเทศไทยและมาตรฐานสากลจาก Joint Commission International หรือ JCI ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือ 3 แห่งได้แก่ สุขุมวิท ศรีนครินทร์ และศรีราชา

***************************************

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่

ปัญจมา จัดเจน โทร 0-2378-9200 E-mail: punchama.c@samitivej.co.th
สุรัญชนา สิทธิพูล โทร 0-2378-9155 E-mail: ssitthip@samitivej.co.th
วสีนาท สุขทิศ โทร 0-2378-9270 E-mail: waseenat.so@samitivej.co.th

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น

จากวันนั้นถึงวันนี้ ของโรงเรียนมีชัยพัฒนา

จากวันนั้น ของ โรงเรียนมีชัยพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ ที่โครงการ “ชุมชนแข็งแรง” ของสมิติเวช โดยมีทีมผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล และพนักงาน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันไปร่วมกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับเยาวชนและชุมชน ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสุขภาพ การกล่าวสร้างแรงบันดาลใจในการวาดอนาคตให้กับน้องๆ ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ เพื่อที่จะเป็นเยาวชนที่ดีมีคุณภาพต่อไป

..วันนี้
โรงเรียนมีชัย พัฒนา ที่โครงสร้างทำด้วยไม้ไผ่ทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ให้เป็นสถานที่แห่งองค์ความรู้ การศึกษา เพื่อสร้างเยาวชนของชาติที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังได้ชื่อว่าเป็น “The World’s Largest Bamboo Geodesic Dome” อีกด้วย ..คุณสามารถเยี่ยมชมโรงเรียนมีชัย พัฒนา ได้ที่ www.mechaifoundation.org/school.asp

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, หนังสือ, ไม่มีหมวดหมู่, Health and wellness | ใส่ความเห็น

ข้อและกระดูก อีกส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตคุณ

รองศาสตราจารย์นายแพทย์ประกิต เทียนบุญ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระดูกสันหลังข้อเข่าและ ข้อสะโพกเทียมสมิติเวชศรีนครินทร์ กล่าวว่า”ข้อและกระดูกเป็นส่วนสำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของชีวิต กระดูก และข้อเป็นจุดศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกายเป็นที่ยึดเกาะของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเพื่อคอยรับการสั่งงานจากสมอง ถ้ากระดูกหรือข้อเสียไป เช่นกระดูกหักหรือข้อเสื่อมก็ทำให้ร่างกายขาดแกนกลาง การยึดเหนี่ยวและอาจสูญเสียการเคลื่อนไหวไปยิ่งโดยเฉพาะคุณสุภาพสตรีแล้วควรใส่ใจเรื่องข้อและกระดูกกันให้ มากๆ เพราะมีอุบัติการณ์โรคกระดูกบางกระดูกพรุนและข้อเสื่อมมากกว่าผู้ชายหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นกระดูกสัน หลัง เข่า ไหล่ คอ หรือ ข้อสะโพกเนื่องจากกิจกรรมต่างๆ ในการใช้ชีวิตของผู้หญิงมีการใช้งานของเส้นเอ็นและ กล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย รวมทั้งถูกแสงแดดน้อยกว่าผู้ชายทำให้มีโอกาสกระดูกบางได้ง่ายและความแข็งแรงของ กระดูกและข้อจะน้อยกว่าผู้ชาย

สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหนึ่งนอกเหนือไปจากปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามากระทบทำให้ผู้หญิงมีอุบัติการณ์ของโรคกระดูกพรุน และข้อเสื่อมมากกว่าผู้ชายเมื่ออายุมากขึ้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุเพียงเบาๆขึ้นจึงทำให้เป็นปัญหาใหญ่ กระดูกหักได้ ง่ายและต้องทำการดูแลรักษากันเป็นพิเศษเลยทีเดียว แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่มั่นใจแล้วว่าเราได้รับประทานอาหารอย่างถูกต้องและหมั่นออกกำลัง หรือพยายามหากิจกรรมให้ตัวเองทั้งในที่โล่งถูกแสงแดดบ้างจะทำให้กล้ามเนื้อได้ ทำงานอยู่สม่ำเสมอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลมากนักเพราะข้อและกระดูกจะพัฒนาตัวเองให้แข็งแรงทนทานต่อการ ใช้งานได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออายุมากขึ้นจนถึงวัยหมดประจำเดือนแล้วควรได้รับการตรวจหรือขอคำปรึกษาจาก แพทย์บ้างก็ดี เพื่อเพิ่มความมั่นใจ”

สำหรับเคสของคุณปิ่นเก็จมณีที่เราพอทราบกันอยู่นั้นมีผู้สนใจซักถามกันมามาก แต่เป็นอีกกรณีหนึ่งนอกไปจากที่ กล่าวถึงซึ่งต้องให้ความระมัดระวังเช่นกัน “จากที่คุณปิ่นประสบอุบัติเหตุตกม้าและทำให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่าง มากที่กระดูกข้อสะโพก เนื่องจากหัวกระดูกข้อสะโพกขาดเลือดไปเลี้ยงและตายไป ในที่สุดหัวกระดูกแตกทรุดลงมา ในกรณีของคุณปิ่นอาจจะเกิดโรคได้จากสองสาเหตุคือ จากตัวอุบัติเหตุเองที่อาจจะมีเลือดออกในข้อมากๆ ทำให้หัวกระดูกข้อสะโพกตายไป หรือ เป็นเพราะรับทานยาหม้อยาสมุนไพรบางอย่างมากเกินไปหลังอุบัติเหตุ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุนี้เพราะยาเหล่านี้เข้าสารพวกสเตรียรอยด์ซึ่งมีคุญสมบัติทำให้หลอดเลือดเลี้ยงหัวกระดูกข้อสะโพก อุดตันอันเป็นอุบัติการณ์ที่พบได้บ่อยมาก ในบ้านเรา ผมจึงตัดสินใจว่าการเปลี่ยนกระดูกใส่ข้อสะโพกเทียมให้เธอ คือการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกข้อสะโพกแล้วเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก ตอนนี้คุณปิ่นเรียกว่าสบายใจหมดกังวลไปเลยกลับมาเดินได้คล่องเหมือนตอนยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ตอน แรกหลังผ่าตัดใหม่ๆ ต้องพักฟื้นที่บ้านนิดหน่อยและตอนนี้ไม่ต้องมาหาหมอบ่อยๆ แล้ว และที่น่าชื่นใจไปกับครอบ ครัวนี้ด้วยอีกเรื่องก็คือ เร็วๆนี้ เห็นว่าวางแผนกับคุณเจ แล้วก็ลูกชายอีก 3 หนุ่ม เจ้านาย เจ้าขุน เจ้าสมุทร ไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับทริปต่างประเทศที่จะมาอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนนี้หลังจากรอกันมาพักใหญ่ในช่วงพักฟื้นตัว และล่าสุดคุณปิ่นเดินควงคู่มากับคุณเจเข้ามาที่สมิติเวช ศรีนครินทร์กับอาการที่ดีขึ้น และใบหน้าที่ยิ้มแย้มแบบน่าชื่นใจ ทีเดียว”

“อยากฝากให้ทุกคนใส่ใจและเลือกใช้ชีวิตให้มีคุณภาพ เพราะสรุปได้ว่าการทานอาหารให้ครบห้าหมู่รวมถึงการทานแคลเซียม วิตามินดี และการออกกำลังกายที่เหมาะสม ถูกแสงแดดบ้าง เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ข้อและกระดูก ของคุณแข็งแรงแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความผิดปกติขึ้น ควรต้องรีบให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจด้วย ร่างกายของเรา จะได้อยู่กับเราอย่างมั่นคงแข็งแรงไปนานๆส่งผลให้มีความสุขไปกับการใช้ชีวิต” อาจารย์กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้าย

(เนื้อหาบทสัมภาษณ์จากรศ.นพ.ประกิต และเจ-ปิ่น เรื่อง แก้ปัญหาข้อคืนชีวิตคู่ ในงาน Family Health Fair 2011)

สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดที่ศูนย์กระดูกสันหลังและข้อ สมิติเวช ศรีนครินทร์ โทร. 02-378-9242 , 9244

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น

พ่อแม่ที่กำลังกังวลกับลูกเราโตเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย ฟังทางนี้

การเจริญเติบโตของเด็กๆ หรือบุตรหลานของท่านที่เร็วเกินไป มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายก่อนวัยอันควรนั้น นับเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนควรใส่ใจและให้ความสำคัญอย่างจริงจัง เพราะอาจมีผลด้านจิตใจโดยตรงเนื่องจากเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง อาย จากความเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆ หรือสังคม อาจถูกแกล้งหรือโดนรังแกซึ่งนับว่าน่าเป็นห่วง ครอบครัวที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ควรพาบุตรหลานของท่านมาพบกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อโดยเร็ว เพื่อได้รับการการตรวจ วินัจฉัย และให้การรักษาอย่างเหมาะสม

ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์กิตติ อังศุสิงห์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ สมิติเวช ศรีนครินทร์ ให้ข้อมูลว่า “ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองมีความกังวลว่าลูกหลานของตนอาจมีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโต ควรพามาพบกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้าเด็กผู้หญิงควรมาพบแพทย์ตอนอายุ 6 ปี เด็กผู้ชายควรมาตอน 8 ปี เพราะการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวนั้นตามปกติเด็กผู้หญิงจะเริ่มที่ 8 – 10 ปี ส่วนเด็กผู้ชายก็ 11 – 12 ปี ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหนุ่มสาวเร็ว ได้แก่ กรรมพันธุ์ โภชนาการ หรือมีการทำงานของฮอร์โมนระบบสืบพันธุ์เร็วไป โดยไม่ทราบสาเหตุหรืออาจมีต้นเหตุจากเนื้องอกก็เป็นได้ เป็นความจริงที่ว่าเด็กผู้หญิงที่อวบอ้วนมักเป็นสาวเร็ว เด็กที่ผอมหรือออกกำลังกายอย่างหักโหมจะมีประจำเดือนช้า ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่อาจเกี่ยวกับการเป็นสาวเร็ว ได้แก่ สารเอสโตรเจนตกค้างในสัตว์ปีกและสารที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน เช่น บีพีเอในผลิตภัณฑ์พลาสติก การเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมได้เช่นกัน เช่น จากที่พ่อก็เป็นหนุ่มเร็ว แม่มีประจำเดือนเร็วก่อนอายุ 12 ปี อย่างไรก็ดียังพบว่าเด็กผู้หญิงที่เป็นสาวเร็ว ประจำเดือนมาเร็ว แม้แม่มีประจำเดือนเมื่ออายุ 14- 15 ปี แสดงว่าปัจจัยอื่นทางสิ่งแวดล้อมสามารถเอาชนะปัจจัยพันธุกรรมได้ และเป็นความจริงที่ว่าเด็กผู้หญิงที่อวบอ้วนจะเป็นสาวเร็วอาจเกี่ยวกับสารเล็ปตินที่เซลล์ไขมันสร้างขึ้นออกฤทธิ์ในสมองทำให้เริ่มเป็นสาวเร็วขึ้น เด็กผู้หญิงที่ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงจากภายนอกนานพอสมควรแล้วหยุดการได้รับฮอร์โมนนี้มักจะเริ่มเป็นสาวเร็วในเวลาต่อมา”

น่าสนใจว่ามีฮอร์โมนเพศหญิงสังเคราะห์เจือปนในสัตว์ปีกเช่นไก่หรือไม่แม้ว่าจะมีการประกาศห้ามใช้ฮอร์โมนนี้กับสัตว์ปีกมานานกว่า 15 ปี แต่มีข้อกังขาทำให้ยังไม่น่าเชื่ออย่างสนิทใจว่าไม่มีการใช้ฮอร์โมนนี้จริงหรือไม่ เพราะยังมีการผลิตฮอร์โมนนี้ทำเป็นเม็ดจำหน่ายอยู่ จากประสบการณ์มีเด็กหลายคนที่ชอบกินไก่แล้วมีเต้านมโต เมื่อแนะนำให้หยุดปรากฏว่าหน้าอกยุบลงได้ อนึ่งการตรวจวัดปริมาณฮอร์โมนดังกล่าวค่อนข้างยุ่งยากและต้องอาศัยเครื่องมือที่ซับซ้อนและมีราคาแพง

คำถามที่พบบ่อยคือ การได้รับแคลเซียมมากเกินไปจะทำให้เด็กสูงหรือไม่ แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญและต้องได้รับจากภายนอก นักโภชนาการมักแนะนำว่าเด็กวัย 4 – 8 และ 9 – 18 ปีควรได้รับแคลเซียม 800 และ 1300 มิลลิกรัมต่อวันตามลำดับ และควรได้รับไวตามินดี 600 หน่วยต่อวัน ทารกและเด็กสามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารในลำไส้ได้ประมาณร้อยละ 50 – 70 ส่วนผู้ใหญ่ดูดซึมได้เพียงร้อยละ 30 – 50 เท่านั้น ความเห็นส่วนตัวแล้วแนะนำให้ซักถามเกี่ยวกับปริมาณแคลเซียมในนมและอาหารต่างๆที่เด็กได้รับในแต่ละวัน ซึ่งแคลเซียมจะมีมาใน นม เนย เนยแข็ง ไข่แดง เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ปลาเล็กปลาน้อย ปลากระป๋อง พืชผัก ผลไม้ เต้าหู้หลอด ถั่วทุกชนิด สาหร่าย งาดำ นมบรรจุกล่องขนาด 250 มล. ปริมาณแคลเซียมร้อยละ 20 – 70 ดังนั้นควรเลือกทานให้ได้ปริมาณพอเหมาะกับความต้องการแต่ละวัน

ภาวะเป็นสาวก่อนวัยแตกต่างจากกรณีเป็นสาวตามวัย แต่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์ของฮอร์โมนซึ่งอาจมีประจำเดือนเร็วเกินไปเช่นกัน ในกรณีแรกสังเกตุภาวะหนุมสาวก่อนวัยได้จาก เด็กผู้ชายที่อายุ 9 ปีหรือน้อยกว่า แต่เริ่มสูงเร็ว มีกลิ่นตัว มีสิว อัณฑะมีขนาดโตมี มีแกนยาวเกิน 2.5 เซนติเมตร และเด็กผู้หญิงที่อายุ 8 ปีหรือน้อยกว่า เริ่มสูงเร็ว มีกลิ่นตัวเช่นกัน และจะมีไตแข็งบริเวณลานหัวนม

การตรวจวินิจฉัย หลังจากซักประวัติร่างกายโดยละเอียดแล้ว แพทย์มักสั่งตรวจอายุกระดูก ถ้าอายุกระดูกมากกว่าอายุจริง 1 ปีขึ้นไป ก็จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเพื่อหาสาเหตุต่อไป กรณีที่สอง เช่นเด็กผู้หญิงอายุ 8 – 9 ปี สูงเร็ว มีไตเต้านมเพิ่มขนาดเร็ว อายุกระดูกเพิ่มเร็วอย่างน่าตกใจและมักมีประจำเดือนมาเร็ว ก่อให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน น่ากังวลเกี่ยวกับสุขภาพเด็กถ้าเด็กผู้หญิงเป็นสาวก่อนวัยก่อนอายุ 6 ปีและเด็กผู้ชายเป็นหนุ่มก่อนวัยทุกคน เพราะมักมีเนื้องอกหรือถุงน้ำในรังไข่แฝงอยู่ ถ้าเด็กกลุ่มนี้ได้รับการตรวจแล้วไม่พบมีเนื้องอกหรือถุงน้ำเลี้ยงในรังไข่ และจำเป็นต้องได้รับการรักษา ซึ่งกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อทั้งยุโรปและอเมริการ่วมกันลงความเห็นว่าการรักษาที่ดีที่สุด คือ การฉีดยา แอล เอช อาร์ เอช อะนาลอก ทุก 4 หรือ 12 สัปดาห์ ตามขนาดยา ยานี้ได้จากการสังเคราะห์บริสุทธิ์ ปลอดภัยประสิทธิภาพสูง ออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมองส่วนหน้าลดการหลั่งฮอร์โมนที่จะไปกระตุ้นการทำงานของรังไข่ อัณฑะ เมื่อต่อมเพศไม่ถูกกระตุ้นก็จะทำงานน้อยลง สร้างฮอร์โมนเพศ (เอสโตรเจน) น้อยลง มีหลักฐานสนับสนุนว่าเอสโตรเจนเร่งอายุกระดูกให้แก่และทำให้หยุดโต ดังนั้นเมื่อฮอร์โมนนี้ออกมาน้อยลง ก็จะมีเวลาในการเจริญเติบโตนานขึ้น สามารถเพิ่มความสูงของเด็กเมื่อหยุดโตได้ ทั้งยังยืดเวลาการมีประจำเดือนได้อีกด้วย การออกฤทธิ์ของยาชนิดนี้จะแค่ชั่วคราว เมื่อหยุดฉีดการทำงานของฮอร์โมนเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์จะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม เหตุผลที่ต้องให้การรักษาโดยการฉีดยา แอล เอช อาร์ เอช อะนาลอก ในเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยที่มีการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองก่อนวัยโดยไม่ทราบสาเหตุ คือ อาจมีผลทางด้านจิตใจเพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างจากเพื่อนๆ มีโอกาสถูกแกล้งหรืออาจถูกประทุษร้ายทางเพศได้ เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อย มีปัญหาในการดูแลตัวเองเมื่อมีประจำเดือน มีเวลาเติบโตช่วงวัยรุ่นสั้นลง อาจเป็นผู้ใหญ่รูปร่างเตี้ย และเมื่อมีฮอร์โมนเพศมากตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ได้หมายความว่าจะร่นอายุการหมดประจำเดือนให้เร็วขึ้น ฮอร์โมนเพศที่มากและยาวนานอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเต้านมและมดลูกในอนาคตได้” (เนื้อหาบทสัมภาษณ์จากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์กิตติ อังศุสิงห์ เรื่อง ภาวะลูกโตเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย ในงาน Family Health Fair 2011)

สนใจสามารถสอบถามรายละเอียด ศูนย์การเจริญเติบโต ต่อมไร้ท่อและเบาหวานในเด็ก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ โทร. 02 378 9110 -1

***************************************

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่

ปัญจมา จัดเจน โทร 0-2378-9200 E-mail: punchama.c@samitivej.co.th
สุรัญชนา สิทธิพูล โทร 0-2378-9155 E-mail: ssitthip@samitivej.co.th
วสีนาท สุขทิศ โทร 0-2378-9270 E-mail: waseenat.so@samitivej.co.th

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น

พี่หมอหมีขอเชิญน้องๆ วัย 7-12 ปีเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและ IQ-EQ

พี่หมอหมีขอเชิญน้องๆ วัย 7-12 ปีเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและ IQ-EQ
สนุกคิด ประดิษฐ์ทำ ฉลาดล้ำ กับ

แคมป์เด็กดีปี 2
ตอน ตะลุยดินแดนมหัศจรรย์

Day Camp 3 วัน ที่จะช่วยให้น้องๆได้พัฒนาทักษะการช่วยเหลือตนเอง การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทุกกิจกรรม สอดแทรกพัฒนาการด้านต่างๆ จดบันทึกเพื่อให้ผู้ปกครองทราบถึงทักษะที่น้องๆมี และด้านใดที่ควรส่งเสริม โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักจิตวิทยาพัฒนาการด้านการสังเกตุพฤติกรรม ประมวลผลร่วมกับพี่ Staff ประจำกลุ่ม

25-27 เมษายน 2554

ราคา 2,900 บาท พร้อมรับสมุดประเมินผล ( Q book )และตุ๊กตาพี่หมอหมี กลับบ้าน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ 0-23789125

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น

AIGLE ฉบับต้อนรับสงกรานต์ มาแล้ว..

นิตยสาร ไอเกิล เมษายนนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอานันท์ ปันยารชุน มาร่วมให้สัมภาษณ์ กับหัวข้อ สุข สร้างได้ด้วย ใจ

และต้อนรับช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ วันแห่งครอบครัว ด้วยเรื่อง “สายใยสุขภาพ ในวันครอบครัว” จาก Dr. Carebearเพราะหมอหมีอยากให้ลูกๆ ได้ดูแลคุณพ่อคุณแม่ ใส่ใจสุขภาพและสร้างความผูกพันกันในครอบครัวกันให้มากขึ้น ป้องกันโรคภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับท่าน

รวมถึงเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย Healthy Diet เพื่อสุขภาพเราทำได้ / กระดูกพรุน…ภัยเงียบใกล้ตัว /ความจำเสื่อมเป็นแค่อาการ ใช่ว่าเป็น “อัลไซเมอร์” เสมอไป / มะเร็งต่อมลูกหมาก ภัยเงียบของผู้ชาย พร้อมมารู้เรื่องกัมมันตรังสี เรื่องHot ที่ช่วงนี้ใครๆ ก็กลัวว่าจะลอยมาถึงประเทศไทย

ก่อนวันหยุดยาวอย่าลืมหาอ่าน Aigle กันได้ที่ Au Bon Pain, Greyhound, Absolute Yoga, True Fitness, California WOW หมู่บ้านเครือแสนสิริ ธ.ธนชาต ธ.ทหารไทย โรงแรมเครือ Amari สำนักงานย่านสีลม และอาคารผู้โดยสาร Bangkok Airways ..และที่ สมิติเวช

ท้ายนี้ ขอฝากลูกๆ หลานๆ ว่า ..อย่าลืมดูแลใส่ใจคนที่คุณรักกันด้วยนะครับ

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น

สมิติเวช สุขุมวิท รพ.เอกชนหนึ่งเดียวที่ได้รับ “รางวัลคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเยียวยา

 

สมิติเวช สุขุมวิท นำโดย นพ.โชคชัย จารุศิริพิพัฒน์ ผู้อำนวยการ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท (ซ้ายของภาพ) เข้ารับรางวัล “Healthing Environment Award” หรือ รางวัล “สิ่งแวดล้อมของโรงพยาบาลที่เอื้อต่อการเยียวยา” ระดับองค์กร โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วสี (ขวาของภาพ) ผู้มอบรางวัลในงานประจำปี HA National Forum ครั้งที่ 12 ณ ศูนย์ประชุม IMPACT เมืองทองธานี

สมิติเวช มีการจัดระบบการบริการที่เข้าถึงมิติทางด้านจิตใจและตอบสนองความต้องการของผู้ให้ทั้ง และผู้รับบริการแบบองค์รวมทั้ง 4 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ (Natural Environment) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) สิ่งแวดล้อมทางสังคม (Social Environment) และสิ่งแวดล้อมทางด้านจิตใจ (Psychological Environment)

# # # #

สื่อมวลชนสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่
สุรัญชนา สิทธิพูล(โน้ต) โทร 0-2378-9155 E-mail : ssitthip@samitivej.co.th
ปัญจมา จัดเจน(ก้อย) โทร 0-2378-9200 E-mail : punchama.c@samitivej.co.th

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น

สมิติเวชโชว์ความเป็นเลิศด้านบริการทางการแพทย์ คว้า 2 รางวัล AACP 2010

สมิติเวช เครือโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาคภูมิใจอีกครั้งกับการคว้า 2 รางวัล Hospital Service Awards 2010 รางวัลที่จัดขึ้นโดย บมจ. อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต เป็นรางวัลเกียรติยศที่มอบให้กับโรงพยาบาลที่มีความมุ่งมั่นและมีประสิทธิภาพเรื่องการบริการที่ได้มาตรฐานรวมถึงการพัฒนาบริการแก่ลูกค้าที่เป็นเลิศที่สุด ซึ่งครั้งนี้ สมิติเวช สุขุมวิท รับรางวัล รองชนะเลิศ Best Performance Award : สำหรับหมวดการบริการยอดเยี่ยม และ สมิติเวช ศรีนครินทร์ รับรางวัลรองชนะเลิศ Best Improvement Award : หมวดการพัฒนาการบริการยอดเยี่ยม จากโรงพยาบาลที่เข้าร่วมในโครงการทั้งหมด 60 โรงพยาบาล

จากภาพ: Mr.Robert Pual Gray : Chief Operations Officer อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. มอบรางวัลให้กับ นายแพทย์โชคชัย จารุศิริพิพัฒน์ (ภาพบนซ้าย) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และ แพทย์หญิงสุรางคณา เตชะไพฑูรย์ (ภาพบนขวา) รองผู้อำนวยการสมิติเวช ศรีนครินทร์

################

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ :
ปัญจมา จัดเจน โทร 087-978-2777 E-mail: punchama.c@samitivej.co.th
สุรัญชนา สิทธิพูล โทร 0-2378-9155 E-mail: ssitthip@samitivej.co.th
วสีนาท สุขทิศ โทร 0-2378-9145 E-mail: waseenat.so@samitivej.co.th

โพสท์ใน สุขภาพและความสุขสมบูรณ์, Health and wellness | ใส่ความเห็น